ถาม 2 นายกรัฐมนตรี ปรับ ครม.ใหม่ไม่ยึดโยง ‘ดับไฟใต้’ จะแก้วิกฤตได้อย่างไร?
บทความ โดย... ไชยยงค์ มณีพิลึก
ความรุนแรงในชายแดนใต้ในเวลานี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับ “รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน” ที่มี “พรรคเพื่อไทย” เป็นแกนนำอย่างแน่นอน เพราะตั้งแต่ได้อำนาจบริหารประเทศ เหตุการณ์ก็เพิ่มขึ้นอย่างผิดสังเกต เมื่อเทียบกับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐบาลชุดก่อนที่มีตัวเลขสถิติจำนวนการเกิดเหตุลดลง
อาจเป็นเพราะในรัฐบาลก่อน “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ได้ทำหน้าที่อย่างขยันขันแข็ง เนื่องจากผู้นำรัฐบาลเคยเป็น “ผู้นำทหาร” มาก่อน แตกต่างจากรัฐบาลนี้โดยสิ้นเชิง ที่เสนาบดีกลาโหมก็ไม่ได้มาจาก “กองทัพ” แถมยังมีความสับสนเกี่ยวกับรองนายกฯ ที่กำกับดูแลงานด้านความมั่นคง
เมื่อเปลี่ยนมาเป็นรัฐบาลพลเรือน สถานะของกองทัพก็เปลี่ยนไป
ทั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมต่างก็มีชื่อนำหน้าว่า “นาย” ไม่ใช่ “พลเอก” และอาจหมายรวมถึง “เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)” ที่ไม่ได้เป็นทหาร แต่เป็น “ตำรวจ” ที่ไม่ต้องเกรงใจใน “สีเดียวกัน” หรือเป็น “รุ่นพี่-รุ่นน้อง” ในเหล่าทัพ
ปฏิบัติการของหน่วยงานความมั่นคงหลังมีรัฐบาลพลเรือนจึงมีความแตกต่าง เหตุรุนแรงในชายแดนใต้จึงเกิดขึ้นต่อเนื่อง ซึ่ง “บีอาร์เอ็น” ก็มองเห็น “จุดอ่อน” นี้
ปฏิบัติการของหน่วยงานความมั่นคงหลังมีรัฐบาลพลเรือนจึงมีความแตกต่าง เหตุรุนแรงในชายแดนใต้จึงเกิดขึ้นต่อเนื่อง ซึ่ง “บีอาร์เอ็น” ก็มองเห็น “จุดอ่อน” นี้
จึงสร้างสถานการณ์ให้รัฐบาลพลเรือนเดินเข้าสู่ “กับดัก” ได้อย่างง่ายๆ
ตัวอย่างเช่นการขับเคลื่อนการเจรจาสันติภาพในยุครัฐบาลทหาร 9 ปีไม่มีความก้าวหน้า ไม่มีการลงนามร่วมใดๆ เพราะ “บิ๊กตู่” สั่ง “นายพล” หัวหน้าคณะเจรจาได้ทุกคน
ตัวอย่างเช่นการขับเคลื่อนการเจรจาสันติภาพในยุครัฐบาลทหาร 9 ปีไม่มีความก้าวหน้า ไม่มีการลงนามร่วมใดๆ เพราะ “บิ๊กตู่” สั่ง “นายพล” หัวหน้าคณะเจรจาได้ทุกคน
ต่างจาก “นายเศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี และ “นายสุทิน คลังแสง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในเวลานี้
ส่งผลให้บีอาร์เอ็นฉวยโอกาสกดดันและโหมไฟใต้เต็มที่
จึงไม่แปลกที่ในยุค “รัฐบาลลูงตู่” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้ประเมินสถานการณ์ว่าดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะนโยบายที่ใช้ “เดินมาถูกทางแล้ว” แต่มาถึง “รัฐบาลน้านิด” พอเจอเกมรุกกลับฉับไวของบีอาร์เอ็นในทุกแนวรบกลับทำให้ดู กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าปั่นป่วนรวนเร มือไม้สั่นไปไม่เป็นอย่างที่เห็น
เหตุความรุนแรงเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2567 บอกให้รู้ว่า แม้ก่อนหน้านายเศรษฐาจะ “สร้างภาพใหญ่” นำคณะลงพื้นที่ค้างคืนและไปกินปลานิลสายน้ำไหล ที่ จ.ยะลา พร้อมประกาศ “ก้าวข้ามความรุนแรง” โดยใช้การพัฒนาเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยวสร้าง “มิติใหม่” ให้ชายแดนใต้ก็แทบไม่เกิดมรรคผล
เพราะหลัง “เสี่ยนิด” กลับเมืองกรุงเพียงไม่กี่เพลาก็เกิดปฏิบัติการ “สวนควันปืน” ด้วยการวางระเบิด วางเพลิงเผาโรงงานอุตสาหกรรม ร้านสะดวกซื้อและร้านค้า เพื่อบอกว่าถ้ายังไม่รีบตั้งโต๊ะเจรจาเพื่อรับข้อเสนอให้บีอาร์เอ็นพอใจ
ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า หลังการเข้ามาของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแก่นแกนจัดตั้ง ความรุนแรงของไฟใต้ยิ่งโชนเปลวต่อเนื่อง โดยฝีมือบีอาร์เอ็นที่เปิดเกมรุกทั้งทางด้านการทหารและทางการเมืองไปพร้อมๆ กัน
ในส่วนของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า แม้ไม่อยู่ในสถานะ “ยะญ่ายพ่ายจะแจ” แต่ก็ไม่ “เข้าตาประชาชน” เพราะแทบทุกวันมีแต่เรื่องความสูญเสีย
นี่ก็เพิ่งปรับ ครม. แต่ก็แทบไม่มีอะไรที่ยึดโยงกับ “มาตรการดับไฟใต้” แม้แต่น้อย แถม “รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม” ก็ไม่มี ที่สำคัญ “รองนายกรัฐมนตรี” ที่จะกำกับดูแล “ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” หรือ ศอ.บต. และ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ก็ยังไม่ชัด และที่มีอยู่ดูหน้าตาแล้วยังไม่เห็นว่ามีใครสันทัด
จึงไม่แปลกที่ในยุค “รัฐบาลลูงตู่” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้ประเมินสถานการณ์ว่าดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะนโยบายที่ใช้ “เดินมาถูกทางแล้ว” แต่มาถึง “รัฐบาลน้านิด” พอเจอเกมรุกกลับฉับไวของบีอาร์เอ็นในทุกแนวรบกลับทำให้ดู กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าปั่นป่วนรวนเร มือไม้สั่นไปไม่เป็นอย่างที่เห็น
เหตุความรุนแรงเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2567 บอกให้รู้ว่า แม้ก่อนหน้านายเศรษฐาจะ “สร้างภาพใหญ่” นำคณะลงพื้นที่ค้างคืนและไปกินปลานิลสายน้ำไหล ที่ จ.ยะลา พร้อมประกาศ “ก้าวข้ามความรุนแรง” โดยใช้การพัฒนาเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยวสร้าง “มิติใหม่” ให้ชายแดนใต้ก็แทบไม่เกิดมรรคผล
เพราะหลัง “เสี่ยนิด” กลับเมืองกรุงเพียงไม่กี่เพลาก็เกิดปฏิบัติการ “สวนควันปืน” ด้วยการวางระเบิด วางเพลิงเผาโรงงานอุตสาหกรรม ร้านสะดวกซื้อและร้านค้า เพื่อบอกว่าถ้ายังไม่รีบตั้งโต๊ะเจรจาเพื่อรับข้อเสนอให้บีอาร์เอ็นพอใจ
ก็อย่าหวังจะมาพัฒนาใดๆ ในชายแดนใต้!
สุดท้ายเหตุการณ์ที่เกิดกับ 2 โรงงานไฟฟ้าชีวะมวลที่ อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี กับที่ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ได้สร้างความหวั่นไหวให้แก่โรงงานไฟฟ้าชีวะมวลที่เหลืออยู่ในชายแดนใต้ รวมถึงโรงงานอุตสาหกรรมอื่นๆ ต้องหนาวๆ ร้อนๆ ไปตามๆ กัน
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ไฟใต้ที่ลุกโชนในขณะนี้มีส่วนอย่างสำคัญกับรัฐบาลพลเรือน แถมยังมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นพลเรือน ที่เอาแต่พูดเรื่องลงทุน “ซื้ออาวุธ” ให้กองทัพ
สุดท้ายเหตุการณ์ที่เกิดกับ 2 โรงงานไฟฟ้าชีวะมวลที่ อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี กับที่ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ได้สร้างความหวั่นไหวให้แก่โรงงานไฟฟ้าชีวะมวลที่เหลืออยู่ในชายแดนใต้ รวมถึงโรงงานอุตสาหกรรมอื่นๆ ต้องหนาวๆ ร้อนๆ ไปตามๆ กัน
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ไฟใต้ที่ลุกโชนในขณะนี้มีส่วนอย่างสำคัญกับรัฐบาลพลเรือน แถมยังมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นพลเรือน ที่เอาแต่พูดเรื่องลงทุน “ซื้ออาวุธ” ให้กองทัพ
แต่ไม่เคยพูดถึงการลงทุนเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินคนในชายแดนใต้แต่อย่างใด
จึงไม่แปลกที่ในการปรับ ครม.ที่เพิ่งผ่านพ้นไปหมาดๆ ปรากฏว่า นายสุทินยังได้ “ตีตั๋ว” อยู่ต่อไปในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
จึงไม่แปลกที่ในการปรับ ครม.ที่เพิ่งผ่านพ้นไปหมาดๆ ปรากฏว่า นายสุทินยังได้ “ตีตั๋ว” อยู่ต่อไปในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
อีกทั้งก็เพราะกองทัพเองที่ต้องการเก็บ “เสนบดี” อย่างนี้ไว้
นั่นคือปฏิบัติการที่พุ่งเป้าเข้าใส่รัฐบาลพลเรือน ขณะที่ในส่วนของ “การเมือง” บีอาร์เอ็นก็รุกคืบทั้งใน “สภาผู้แทนราษฎร” และ “ภาคประชาสังคม” ในชายแดนใต้
นั่นคือปฏิบัติการที่พุ่งเป้าเข้าใส่รัฐบาลพลเรือน ขณะที่ในส่วนของ “การเมือง” บีอาร์เอ็นก็รุกคืบทั้งใน “สภาผู้แทนราษฎร” และ “ภาคประชาสังคม” ในชายแดนใต้
อย่าลืมว่าการเกิดขึ้นของ “กรรมาธิการสันติภาพ” ทีมี “นายจาตุรนต์ ฉายแสง” นั่งเป็นประธานอยู่ นั่นก็มาจากการผลักดันของปีกการเมืองบีอาร์เอ็น
เคยเสนอให้นำ “เหตุการณ์ตากใบ” ที่เกิดเมื่อปี 2547 และกำลังจะหมดอายุความขึ้นฟ้องศาลเพื่อเอาผิด 9 เจ้าหน้าที่มีส่วนสลายการชุมนุมหน้า สภ.ตากใบ จ.นราธิวาส
เคยเสนอให้นำ “เหตุการณ์ตากใบ” ที่เกิดเมื่อปี 2547 และกำลังจะหมดอายุความขึ้นฟ้องศาลเพื่อเอาผิด 9 เจ้าหน้าที่มีส่วนสลายการชุมนุมหน้า สภ.ตากใบ จ.นราธิวาส
เวลานี้ก็มีการหยิบ “เหตุการณ์ปุโละปุโย” จ.ปัตตานี มาทำ “ไอโอ” เพื่อกดดันให้มีการฟ้องศาลเอาผิดเจ้าหน้าที่เช่นเดียวกัน
ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า หลังการเข้ามาของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแก่นแกนจัดตั้ง ความรุนแรงของไฟใต้ยิ่งโชนเปลวต่อเนื่อง โดยฝีมือบีอาร์เอ็นที่เปิดเกมรุกทั้งทางด้านการทหารและทางการเมืองไปพร้อมๆ กัน
ในส่วนของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า แม้ไม่อยู่ในสถานะ “ยะญ่ายพ่ายจะแจ” แต่ก็ไม่ “เข้าตาประชาชน” เพราะแทบทุกวันมีแต่เรื่องความสูญเสีย
ถ้าไม่ใช่ “กำลังพล” ก็เป็นเรื่อง “เศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน” ซึ่งที่จริงกำลังพลของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เวลานี้ป้องกันตนเองยังไม่ได้
แล้วจะหวังให้ป้องกันเหตุร้ายได้อีกหรือ
การปล่อยให้ “กองกำลังติดอาวุธ” บีอาร์เอ็นข้ามแม่น้ำสุไหงโก-ลกจากฝั่งมาเลเซียเข้ามาใช้ทั้งระเบิดและปืนถล่มตำรวจ เสร็จแล้วล่าถอยกลับไปยังฝั่งมาเลเซียได้สะดวกดาย นับเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาถึง “ความบกพร่อง” และ “ไม่เอาไหน” ของผู้รับผิดชอบในพื้นที่ดังกล่าว
การปล่อยให้ “แนวร่วม” บีอาร์เอ็นทิ้งใบปลิวข่มขู่เอาชีวิต “ทหารพราน” และ “อส.” ทั้งที่ อ.บันนังสตา และ อ.เมือง จ.ยะลา เป็นการทำ “สงครามจิตวิทยา” ที่มีผลต่อกำลังพล โดยเฉพาะ “กองกำลังท้องถิ่น” รวมถึงประชาชนในพื้นที่ให้หวาดกลัวและตกอยู่ภายใต้อิทธิพลบีอาร์เอ็นมากขึ้น
และการที่ “แกนนำ” ระดับ “รองหัวหน้าขบวนการ” ส่งสารข่มขู่ “กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน” และ “ผู้นำศาสนา” ด้วยการถามว่ารู้จัก “ทหารของปาตานี” หรือ “บีอาร์เอ็น” หรือไม่ ถือเป็นการ “เปิดหน้าชก” จึงต้องถามว่าแม่ทัพ นายกองและเสนาธิการของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าว่า มีความรู้สึกรู้สาหรือไม่
ถ้า “รู้ร้อนรู้หนาว” ก็ต้องถามต่อว่า แม่ทัพ นายกองและเสนาธิการ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าจะปฏิบัติการต่อสถานการณ์ต่างๆ เหล่านั้นอย่างไร
การปล่อยให้ “กองกำลังติดอาวุธ” บีอาร์เอ็นข้ามแม่น้ำสุไหงโก-ลกจากฝั่งมาเลเซียเข้ามาใช้ทั้งระเบิดและปืนถล่มตำรวจ เสร็จแล้วล่าถอยกลับไปยังฝั่งมาเลเซียได้สะดวกดาย นับเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาถึง “ความบกพร่อง” และ “ไม่เอาไหน” ของผู้รับผิดชอบในพื้นที่ดังกล่าว
การปล่อยให้ “แนวร่วม” บีอาร์เอ็นทิ้งใบปลิวข่มขู่เอาชีวิต “ทหารพราน” และ “อส.” ทั้งที่ อ.บันนังสตา และ อ.เมือง จ.ยะลา เป็นการทำ “สงครามจิตวิทยา” ที่มีผลต่อกำลังพล โดยเฉพาะ “กองกำลังท้องถิ่น” รวมถึงประชาชนในพื้นที่ให้หวาดกลัวและตกอยู่ภายใต้อิทธิพลบีอาร์เอ็นมากขึ้น
และการที่ “แกนนำ” ระดับ “รองหัวหน้าขบวนการ” ส่งสารข่มขู่ “กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน” และ “ผู้นำศาสนา” ด้วยการถามว่ารู้จัก “ทหารของปาตานี” หรือ “บีอาร์เอ็น” หรือไม่ ถือเป็นการ “เปิดหน้าชก” จึงต้องถามว่าแม่ทัพ นายกองและเสนาธิการของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าว่า มีความรู้สึกรู้สาหรือไม่
ถ้า “รู้ร้อนรู้หนาว” ก็ต้องถามต่อว่า แม่ทัพ นายกองและเสนาธิการ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าจะปฏิบัติการต่อสถานการณ์ต่างๆ เหล่านั้นอย่างไร
ที่สำคัญมากคือต้องถามนายเศรษฐา ทวีสิน ผู้นั่งเป็นนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ ขณะที่ “นายทักษิณ ชินวัตร” คือผู้ที่ถูกสังคมมองว่าเป็น “นายกรัฐมนตรีตัวจริง” ว่า จะแก้วิกฤตไฟใต้ให้มอดดับได้อย่างไร
นี่ก็เพิ่งปรับ ครม. แต่ก็แทบไม่มีอะไรที่ยึดโยงกับ “มาตรการดับไฟใต้” แม้แต่น้อย แถม “รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม” ก็ไม่มี ที่สำคัญ “รองนายกรัฐมนตรี” ที่จะกำกับดูแล “ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” หรือ ศอ.บต. และ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ก็ยังไม่ชัด และที่มีอยู่ดูหน้าตาแล้วยังไม่เห็นว่ามีใครสันทัด
จึงอุทานได้เลยว่า “จบเห่”
หรือห้วงกว่า 20 ปีไฟใต้ระลอกใหม่ปะทุขึ้นมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547 นับจากนี้ไปจะเป็นช่วงแห่ง “คนตาบอดเดินจูงคนตาดี” และแถมยังเป็นการ “ข้ามสะพานไม้แผ่นเดียว” อีกต่างหาก
หรือห้วงกว่า 20 ปีไฟใต้ระลอกใหม่ปะทุขึ้นมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547 นับจากนี้ไปจะเป็นช่วงแห่ง “คนตาบอดเดินจูงคนตาดี” และแถมยังเป็นการ “ข้ามสะพานไม้แผ่นเดียว” อีกต่างหาก
หรือไม่ก็เป็นยุค “มือบอด” สำหรับการแก้ปัญหาความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างแท้จริง
###
ไม่มีความคิดเห็น: