โควิด-19 มา 2 ปี 'ชายแดนภาคใต้' รอไม่ได้อีกแล้ว รัฐบาลต้องกล้าเดินหน้า "นิคมอุตสาหกรรมจะนะ"
โดย.. เมืองไม้ขม
![](https://allaboutnewsth.files.wordpress.com/2021/10/support-002.jpg?w=560)
เป็นที่แน่นอนว่าโรค ”โควิค-19" ยังอยู่กับเราอีกนาน และเราต่างหากที่ต้องปรับทุกอย่างแบบ ”นิว นอร์มอล” เพื่อที่จะอยู่กับโควิด-19 ให้ได้ เพื่อจะเดินหน้าในการขับเคลื่อนทุกองคาพยพของประเทศไปให้ได้
การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตัดสินใจเปิดประเทศท่ามกลางความเสี่ยงในวันที่ 1 พ.ย.ที่จะถึงนี้ เพราะประเทศไม่มีทางเลือกอีกต่อไป นั่นคือ บ้านเมืองต้องเดินหน้า ทุกอย่างต้องเป็นไปตามวิถีของธรรมชาติ เราจะปิดประเทศ ล็อกดาวน์เมือง ปิดหมู่บ้าน เพื่อรอให้โควิด-19 หยุดการระบาด หรือให้ตัวเลขเป็นศูนย์ แล้วจึงค่อยกลับมาขับเคลื่อนประเทศไม่ได้แล้ว
โดยเฉพาะการพัฒนาประเทศ ทุกโครงการที่ว่าจะเป็นเล็ก ใหญ่ ที่หยุดชะงักไปร่วม 2 ปี ต้องเร่งรีบในการเดินหน้า เพราะเราเสียเวลาไป 2 ปี ถือว่า มากพอในการทำให้การพัฒนาบ้านเมืองเป็นไปด้วยความล่าช้า โดยเฉพาะในสภาวะที่ประเทศถดถอยทางเศรษฐกิจ การลงทุน ซึ่งไม่แน่ใจว่า ต้องใช้เวลา 2 หรือ 5 ปี กว่าที่สภาวะของการค้า การลงทุน จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
สำหรับจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น โควิด-19 ได้ทำให้เศรษฐกิจถดถอย การลงทุนเป็นศูนย์ คนว่างงานเพิ่มสูง เพราะโครงการต่างๆ ที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือ ศอ.บต.ได้ทำการขับเคลื่อนอย่างเป็นมรรคเป็นผล โดยเฉพาะโครงการที่นักลงทุนจากต่างประเทศได้เข้ามาดำเนินการในเบื้องต้น ต้องหยุดชะงัก เพราะปัญหาของโควิด-19 ทั้งสิ้น
โครงการที่ยังมีการขับเคลื่อนไปได้บ้าง ท่ามกลางปัญหาอุปสรรคของโควิด-19 คือ โครงการ ”เมืองต้นแบบที่ 4" หรือ ”เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต” ที่ อ.จะนะ จ.สงขลา ซึ่งมีข่าวความคืบหน้าปรากฏให้เห็นเป็นระยะๆ เช่น มีการทำแผนแม่บทของการจราจรและโลจิสติกส์ เพื่อรองรับการเติบโตของการค้าการลงทุนที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะ “นิคมอุตสาหกรรมจะนะ” โดยทำเอ็มโอยู ระหว่าง ศอ.บต.กับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
![](https://allaboutnewsth.files.wordpress.com/2021/10/0404.jpg?w=580)
การทำเอ็มโอยูกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.หาดใหญ่) เพื่อให้เป็นผู้รับฟังความคิดเห็น เพื่อลงรายละเอียดของโครงการว่า โรงงานอุตสาหกรรม ประเภทอุตสาหกรรม ในพื้นที่มีอะไรบ้าง และตั้งอยู่ตรงไหนของพื้นที่ ตามรายละเอียดของกลุ่มทุน ที่เป็นเอกชน เจ้าของโครงการ เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ เพราะหากขาดความรอบคอบ และไม่มีการศึกษาอย่างเพียงพอ อาจจะเกิดปัญหากับประชาชนในอนาคต
และอีกความคืบหน้าหนึ่งคือ องค์กรบริหารส่วนจังหวัดสงขลา (อบจ.สงขลา) ได้ดำเนินการว่าจ้างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย จ.สงขลา เป็นผู้ออกแบบ เพื่อการรับฟังความคิดเห็นจากคนในพื้นที่ อ.จะนะ ในภาพรวม และในพื้นที่ 3 ตำบล ซึ่งเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมจะนะ ในการเปลี่ยนสีผังเมืองตามกฎหมายผังเมือง ที่ต้องมีการรับฟังความคิดเห็นจากคนในพื้นที่ ซึ่งขณะนี้ มหาวิทยาลัยอยู่ระหว่างการออกแบบ เพื่อลงการพื้นที่ในการรับฟังความคิดเห็น
แต่...การดำเนินการคงจะไม่ง่ายนัก เนื่องจากขณะนี้ เอ็นจีโอเจ้าเก่า หมอเจ้าเก่า และกลุ่มชาวบ้านกลุ่มเก่า ที่ค้านทุกอย่าง ทุกโครงการ ที่ถูกนำเข้ามาในภาคใต้ ได้มีการ ”ออกโรง” ปลุกระดม โดยอ้างเรื่องของ ”โควิด-19" ที่ยังมีการระบาดอยู่ว่า ทำไมรัฐจึงไม่รอให้โควิด-19 หมดไปก่อน แล้วค่อยดำเนินการเปิดการรับฟังความคิดเห็น การเร่งรัดเพื่อรับฟังความคิดเห็นเป็นการ ทำตามความต้องการของกลุ่มทุนหรือไม่
โดยข้อเท็จจริง วิธีการเปิดรับฟังความคิดเห็นมีด้วยกันหลายรูปแบบ อย่างน้อยก็ 5 วิธีการด้วยกัน ไม่จำเป็นที่ต้องต้องจัดเวทีเพื่อให้ประชาชนมาครั้งละมากๆ ซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อ การจัดเวทียิ่งแยกย่อย ยิ่งน้อยคน และให้ถี่ๆ ขึ้น หรือการประชุมกลุ่มแบบ ”นิว นอร์มอล” ยิ่งได้ประโยชน์ ดังนั้น จึงไม่จำเป็นที่จะต้องรอให้โควิด-19 เป็นศูนย์แล้วค่อยจัด เพราะเป็นไปไม่ได้ ถ้าจะคอยให้โควิด-19 หายไปก่อน และจึงมาเริ่มขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ นั่นหมายถึงการซ้ำเติมประเทศให้บอบซ้ำและแห้งตายเร็วขึ้น
ปัญหาที่เอ็นจีโอออกมาเคลื่อนไหวเพื่อคัดค้านการรับฟังความคิดเห็นเรื่องการเปลี่ยนสีผังเมือง เพราะ เอ็นจีโอและกลุ่มผู้ที่เห็นต่างไม่ต้องการให้ใช้วิธีการรับฟังความคิดเห็นแบบนิว นอร์มอล แต่ต้องการให้มีการตั้งเวทีใหญ่ มีคนร่วมในเวทีแบบมากแบบเปิดกว้าง เพื่อที่เอ็นจีโอจะได้ดำเนินการแบบที่เคยทำสำเร็จ นั่นคือการใช้คนจำนวนน้อยที่เห็นต่างขัดขวางมิให้คนส่วนมากที่เห็นด้วยเข้าไปแสดงความเห็นด้วยในเวที เป็นการ ”ล้มเวที” ตามที่เอ็นจีโอทำได้ผลมาแล้วหลายครั้งในหลายโครงการนั่นเอง
![](https://allaboutnewsth.files.wordpress.com/2021/10/0403-1.jpg?w=580)
การพัฒนาเศรษฐกิจทั้งที่เป็นแบบแม็คโครและไมโครของจังหวัดชายแดนภาคใต้รอไม่ได้อีกต่อไป เพราะสถานการณ์วันนี้ คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้รับผลกระทบมากกว่าคนในภูมิภาคอื่นๆ ที่หลังการลดจำนวนผู้ติดเชื้อ เศรษฐกิจ การค้า อาจจะกระเตื้องขึ้นได้โดยเร็ว แต่สำหรับจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่เหมือนกับภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศ ถ้าไม่มีการสร้างงานในพื้นที่เพื่อให้มีการจ้างงาน คนที่นี่ต้องเดินทางไปมาเลเซียอย่างเดียว และหลังการเกิดขึ้นของโควิด-19 สถานการณ์การจ้างงานของประเทศมาเลเซียย่อมไม่เหมือนเดิม
รัฐบาลจึงต้องเร่งเดินหน้าในการขับเคลื่อนโครงการเมืองต้นแบบที่ 4 ให้รวดเร็ว รอบครอบ รอบด้าน และไม่ปิดบังอำพรางข้อเท็จจริงของโครงการ โดยการให้มหาวิทยาลัย ทั้งในพื้นที่และนอกพื้นที่ ซึ่งมีประสบการณ์ หลักวิชาการ ในการดำเนินการ เพื่อให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลและสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชน ทั้งกลุ่มที่เห็นด้วยและเห็นต่าง วันนี้ ไม่ใช่เวลาที่จะมา ”รีรอ” เพื่อให้สถานการณ์ของโควิด-19 จบก่อนแล้วค่อยดำเนินการ เพราะตามที่กล่าวมาแต่ต้นคือ “เราต่างหากที่ต้องรู้จักที่จะอยู่กับโควิด-19 ให้มีความปลอดภัย“ และดำเนินการทุกอย่างให้เดินหน้าไปได้
ถ้ารัฐบาลต้องการที่จะแก้ปัญหาประเทศชาติจริง ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องการที่จะอยู่ยาว เพื่อเป็นนายกรัฐมนตรีอีก สิ่งที่ต้องมีคือ ”แผนงาน” และ ”ผลงาน” โดยต้องกล้า ”ขับเคลื่อน” ทุกโครงการใหญ่ ที่นำประเทศให้พ้นจาก ”หลุมดำ” ที่เป็น “กับดัก” ทางเศรษฐกิจให้เป็นผลสำเร็จ และสิ่งแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องมีคือ ความกล้า กล้าที่จะไม่เกรงกลัวเอ็นจีโอและผู้ที่เห็นต่างเพียงหยิบมือ เพื่อขัดขวางการพัฒนาประเทศ ที่เป็นความต้องการของคนส่วนใหญ่
แต่....ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ยังเกรงกลัวต่อการเคลื่อนไหวของเอ็นจีโอ เกิดอาการยึกยัก กล้าๆ กลัวในทันที่ที่เอ็นจีโอออกมาประท้วง ก็พัฒนาประเทศให้”มั่นคง มั่งคัง” ไม่ได้
![](https://allaboutnewsth.files.wordpress.com/2021/10/support-002.jpg?w=560)
ไม่มีความคิดเห็น: